วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

กีฬาสี

       กีฬาสีปีนี้ เป็นปีที่ฉันเป็นพี่โตสุดเพราะฉันอยูมอหก ซึ่งจากกีฬาสีปีนี้ ทำให้ฉันได้รับรู้และเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น รวมถึงได้ประสบการณ์ดีดีจากการเป็นพี่สตาฟ ฉันยอมรับเลยว่าการเป็นสตาฟไม่ใช่เรื่องง่ายที่สบายๆ เพราะฉันมีหน้าที่ที่ตองรับผิดชอบค่อนข้างมากพอสมควร ซึ่งมันก็ทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อย ทั้งเครียด ทั้งเหนื่อย และกังวลใจอะไรหลายๆอย่าง แต่พอมองออกไปที่อาจารย์ พวกท่านยังเหนื่อยกว่าเรามากนัก เพราะท่านต้องรับผิดชอบดูแลเด็กทั้งสีซึ่งต่างจากเราที่รับผิดชอบดูแลแค่หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา นับว่าสีของฉันคอนข้างโคดี ที่มีอาจารย์ดีดีอยู่ด้วยหลายคน คอยให้ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ ให้การสนับสนุน รวมไปถึงการให้งบประมาณ ซื้อของมาแจกให้พวกเราในสีได้กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ และที่พิเศษไปกว่านั้นสำหรบฉันคือ ปีนี้เป็นปีแรกและปีสุดท้ายที่ฉันได้ร่วมเล่นกัฬาฟุตบอลหญิง ซึ่งตอนแรกฉัไนม่กล้าเล่น เพราะฉันกลัว ฉันไ่เคยเล่นมาก่อน แต่พอได้ลงไปเล่นแล้ว ความกลัวกลับหายไป กลายเป็ฯความสนุกมาแทนที่ ยิ่งพอขาเราได้แตะบอลแล้ว แค่นั้นก็พอใจสำหรับฉัน 5555555 /ม่จำเป็นต้องยิง แค่ได้ลงเล่น ฮันก็มีความสุขแล้ว .... รู้อย่างนี้ฉันคงลงเล่นไปตั้งแต่มอหนึ่งแล้ว ไม่เสียเวลาฟรีๆไปห้าปีหรอก


10 วิธีเพื่อผมสวย ทำเองง่ายๆ



10 วิธีเพื่อผมสวย ทำเองง่ายๆ

ผมสวย

1.ป้องกันลอนผมฟูกระจายระหว่างวัน ใช้นิ้วเปียกน้ำ แตะครีมนวดผมแล้วสางไปตลอดความยาวของเส้นผม ผมจะเกาะตัวเป็นลอนไม่ฟูกระจาย
2.นอนหนุนหมอนที่ทำด้วยผ้าไหมหรือซาติน เพื่อคงความชุ่มชื้นของผมไว้ ปลอกหมอนคอตตอนจะซับน้ำมัน ที่หล่อเลี้ยงผมตามธรรมชาติไป จึงทำให้ผมแห้ง
3.หยุดผมแตกปลายด้วยการใช้ครีมนวดผมชนิดไม่ต้องล้างออก (leave-in conditioner) หมั่นใช้ทุกๆ วันครีมนวดผมจะค่อยๆ ซึมลงสู่ผิวผม เพื่อสร้างความชุ่มชื้นและป้องกันการขาดแตกปลาย
4.โคนผมยกตัวอยู่เสมอ ด้วยการใช้ครีมนวดลูบตั้งแต่ช่วงกลางของเส้นผมจนถึงปลายผมเท่านั้น ส่วนโคนผมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของน้ำมันที่ออกจากหนังศรีษะตามธรรมชาติ
5.เพื่อผมสุขภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ พยามยามหลีกเลี่ยงสารพัดสารเคมีกับเส้นผมอย่างเช่น การใช้ไดร์เป่าผม การย้อมผม และควรปล่อยให้ผมได้พักทุกๆ 6 สัปดาห์
6.คงไว้ซุ่งผมนุ่มเป็นลอนสลวย สระผมโดยไม่ใช้แชมพูบ้าง แค่ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และใช้ครีมนวดผมเป็นขั้นตอนสุดท้าย
7.รังแค…ทางใคร ทางมัน บดแอสไพริน 2 เม็ดใส่ในแชมพูแล้วสระผม แอสไพรินเป็นกรดซัลลิไซลิกชนิดหนึ่ง (ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนผสมของแชมพูขจัดรังแคทั่วไป) แถมยังช่วยให้เซลล์ผิวผลัดเร็วขึ้นด้วย
8.เติมความสดชื้นให้กับเส้นผม ฉีดสเปรย์คอนดิชั่นเนอร์แบบไม่ต้องใช้น้ำ (dry conditioner) หลังสระผม เพื่อให้ผมชุ่มชื้น มีชีวิตชีวา เป็นประกายเงางาม
9.หลีกเลี่ยงการใช้แปรงหวีผมแบบพลาสติก แปรงหวีผมแบบพลาสติกนี่แหละตัวดี ที่ทำให้ผมขาดหลุดร่วง ทางที่ดีควรใช้แปรงหวีผมที่ทำจากขนหมูป่า ซึ่งให้ความนุ่มนวลเวลาหวีผมมากกว่า
10.ใช้อุปกรณ์ทำผมที่สถาพดีเสมอ พวกแปรงเก่าๆ จะทำให้ผมหยาบกระด้าง ดีไม่ดีทำให้ผมฉีกขาดง่ายด้วย

ขนมมงคล 9 อย่าง

ขนมมงคล 9 อย่าง
ขนมทองหยิบ - เป็นขนมมงคล ชนิดหนึ่ง มี ลักษณะ งดงามคล้าย ดอกไม้สีทอง ต้องใช้ความสามารถและ ความพิถีพิถัน เป็นอย่างมาก ใน การ ประดิษฐ์ประดอย จับกลีบ ให้มีความงดงามเหมือนกลีบดอกไม้ ชื่อ ขนมทองหยิบ เป็นชื่อ สิริมงคล เชื่อว่าหากนำไปใช้ประกอบ พิธีมงคล ต่างๆ หรือให้เป็น ของขวัญ แก่ใครแล้ว จะทำให้เกิด ความมั่งคั่งร่ำรวย หยิบจับ การงาน สิ่งใดก็จะ ร่ำรวย มีเงินมีทอง สมดังชื่อ "ทองหยิบ"
ขนมทองหยอด - ใช้ประกอบใน พิธีมงคล ทั้งหลาย หรือมอบเป็น ของขวัญ ใน โอกาสสำคัญ ๆ แก่ผู้ใหญ่ที่เคารพรักหรือ ญาติสนิทมิตรสหาย แทน คำอวยพร ให้ ร่ำรวยมีเงินมีทอง ใช้จ่ายอย่างไม่รู้หมดสิ้น ประดุจให้ ทองคำ แก่กัน
ขนมฝอยทอง - เป็นขนม ใน ตระกูลทอง ที่มีลักษณะเป็น เส้น นิยมใช้กันในง านมงคลสมรส ถือเคล็ด กันว่าห้ามตัดขนม ให้สั้น ต้องปล่อยให้เป็น เส้นยาวๆ เพื่อที่ คู่บ่าวสาว จะได้ ครองชีวิตคู่ และ รัก กันได้อย่างยืนยาวตลอดไป
ขนมชั้น - เป็นขนมไทย ที่ถือเป็น ขนมมงคล และจะต้อง หยอด ขนมชั้น ให้ได้ 9 ชั้น เพราะ คนไทย มีความเชื่อ ว่าเลข 9 เป็น เลขสิริมงคล หมายถึง ความเจริญก้าวหน้า และ ขนมชั้น ก็หมายถึงการได้ เลื่อนชั้น เลื่อน ยศถาบรรดาศักดิ์ ให้สูงส่งยิ่งๆ ขึ้นไป
ทองเอก - แสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียว ประมาณว่ารักเดียวใจเดียว หรือความเป็นที่สุด
เม็ดขนุน - แทนคำอวยพรว่า จะทำอะไรก็มีแต่คนคอยสนับสนุน ค้ำจุน ให้เจริญก้าวหน้า
จ่ามงกุฏ - ให้เจริญก้าวหน้า เพียบพร้อมด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์
เสน่ห์จันทร์ - ทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ มีแต่คนรักใคร่
ขนมถ้วยฟู - ความหมายตรงตัวค่ะ คือ มีแต่ความเจริญ เฟื่องฟู







Happy New Yearr



     ปีใหม่ปีนี้ที่โรงเรียนจัดกิจกรรมเหมือนเช่นทุกปี ที่ต้องมีการแสดง แต่ปีนี้เพิ่มมาจากเดิม คือการแสดงละครภาษาอังกฤษ เรื่อง กำเนิดพระเยซู ที่พวกเราห้อง 6/1 ได้รับมอบหมายให้ทำการแสดง ซึ่งฉันก็ได้มีส่วนร่วมในการแสดงครั้งนี้ ซึ่งคือบท นางฟ้า ที่เป็นนางฟ้าดูโอ้ด้วย 5555555 แม้ว่าบทจะไม่เด่นมากนัก แต่ฉันก็มีความสุขที่ได้แสดง ได้ทำงานเป็นทีมร่วมกับเพื่อนๆ ถึงจะออกมาไม่ดีเท่าไร แต่มันก็ออกมาจากใจที่ฉันตั้งใจ อ่านบท ท่องบท เข้าบทกับเพื่อน แต่แน่นอนว่าเป็นครั้งแรก ย่อมไม่ได้ดีพร้อมเสมอไป แลพะอีกอย่างที่ฉันได้ทำในกิจกรรมวันปีใหม่ของโรงเรียน คือ การเต้นลีลาศ หรือ อาจจะเรียกว่้าการสอบลีลาศก็ได้ เพราะมันคือคะแนนเก็บกลางภาค แต่ฉันก็ตั้งใจทำมัน ถึงแม้ว่าาจะออกมาแลดูแย่ แต่ก้เต็มที่




ทัศนศึกษา



     
       ปีนี้ฉันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งทางโรงเรียนได้จัดไปทัศนศึกษาที่ ดรีมเวิลด์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้ไปไกลที่สุดตั้งแต่เรียนมา สมกับที่เป็นมอหก ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้ไปดรีมเวิลด์ ฉันรไม่ค่อยดีใจเท่าไรนัก เพราะฉันรู้ตคัวดีว่าฉันเป็นคนขี้กลัว ขี้โรค เล่นอะไรมากนักก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะหอบ แต่ฉันก็ดีใจที่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆเหมือนไปเพื่อผ่อนคลาย เพื่อความสนุกสนานโดยเฉพาะ เพราะปีนี้ถือเป็นปีสุดท้านที่ฉันจะได้ไปกับเพื่อนๆอย่างพร้อมน่าพร้อมตา เพราะปีหน้าเราต่างก็ต้องย้ายกันไปมีที่เรียนตามฝันที่วางไว้กันทั้งนั้น ซึ่งแม้ว่าา การไปครั้งนี้ฉันจะไม่ได้เล่นอะไรมากนัก หรือเรียกอีกอย่างว่าเล่้นแค่ไม่กี่อย่าง ส่วนมากก็คอยถือของให่้เพื่อ รอเพื่อน ขำเพื่อนเวลาเพื่อนเล่น แต่ฉันก็ถือว่า ทัศนศึกษาครั้งนี้มันมีความสุขมากจริงๆ


วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

เรียนเก่งง่ายๆแค่เข้าใจ 7 เทคนิค

เรยนเก่งง่ายๆแค่เข้าใจ 7 เทคนิค
1. พักผ่อนให้เพียงพอ
          การพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากถ้า อยากเรียนเรียนเก่ง เพราะถ้าหากว่าเราพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ช่วงเวลาเรียนของเรานั้น ไม่สดชื่น สมองไม่แล่น และอาจถึงขั้นหลับในห้องเรียนได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่เข้าใจในเนื้อหาที่เรียนในชั่วโมงดังกล่าวนั่นเอง
          ดังนั้นเราจึงแนะนำให้น้องๆพักผ่อนกันให้เพียงพอโดยควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ในช่วงเวลาเรียนนั้นสมองสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะทำให้น้องๆเข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้อย่างท่องแท้นั่นเอง
 
 
2. กล้าถามเมื่อสงสัย
 
          เทคนิคการเรียนเก่ง ข้อ2เป็นสิ่งที่ขัดกับนักเรียนไทยมากที่สุดเพราะข้อเสียที่สำคัญของเด็กไทยอย่างหนึ่งนั่นคือการไม่กล้าถามคำถามเมื่อสงสัย อาจเพราะกลัวว่าเพื่อนจะมองว่าโง่ หรืออายที่จะยกมือถามอาจารย์ แต่นั่นจะทำให้น้องๆไม่เข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้เลยแหละ เพราะเมื่อเก็บความไม่เข้าใจไว้หนึ่งคำถาม การเรียนต่อไปที่ต้องใช้พื้นฐานจากความเข้าใจเรื่องก่อนหน้า น้องๆก็จะไม่เข้าใจเพราะยังคงไม่เข้าใจบทเรียนก่อนหน้า และจะทำให้การเรียนของน้องๆมีแต่คำถามที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด ดังนั้นถ้า อยากเรียนเก่ง "กล้าถาม" เถอะครับ การถามคำถามอาจารย์ในชั้นเรียนไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย หรือไม่ได้หมายความว่าคนที่ถามนั้นโง่ หลายๆครั้งคำถามที่น้องถามในห้องเรียนก็เป็นคำถามที่น่าสนใจ จนทำให้อาจารย์อึ้งได้เหมือนกันนะครับ
 
 
3. มีสมาธิในเวลาเรียน
 
          เคล็ดลับเรียนเก่ง ข้อต่อมาคือการมีสมาธิ ในเวลาเรียนนั้นต้องอย่าวอกแวกไปกับสิ่งที่รบกวนสมาธิทั้งหลายรอบๆตัว เช่น เพื่อนชวนคุย เพื่อนคุยกันเสียงดัง เสียงเตะบอลจากสนามบอล เสียงก่อสร้างข้างๆโรงเรียน และอื่นๆอีกมากมาย สิ่งรบกวนบางอย่างเช่น เพื่อนชวนคุุย เพื่อนคุยกันเสียงดัง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้โดยการไม่นั่งในบริเวณใกล้ๆ ก็ควรหลีกเลี่ยง การเรียนอย่างมีสมาธินั้นจะทำให้น้องๆเข้าใจบทเรียนและทำคะแนนสอบได้ดีอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่อาจารย์ออกข้อสอบก็ต้องเป็นสิ่งที่พูดในชั้นเรียนนั่นแหละ
 
4. จับประเด็นให้ได้
          คนที่เรียนเก่งอาจไม่ได้เก็บทุกคำพูดของอาจารย์ได้ แต่ต้องเป็นคนที่จับประเด็นสำคัญในบทเรียนนั้นๆได้ การจับประเด็นนั้น เป็นเทคนิคการเรียนเก่ง ที่สามารถทำได้ง่ายๆโดยตั้งใจฟังว่าเนื้อหาไหนที่อาจารย์พูดย้ำๆ พูดว่าตรงจุดนี้สำคัญ หรือจุดนี้เคยออกข้อสอบ เมื่อจับประเด็นสำคัญได้ก็อย่าลืมขีดเส้นใต้หรือไฮไลท์ไว้ เพื่อที่เวลากลับมาอ่านทบทวนจะได้เน้นอ่านบริเวณเนื้อหาที่สำคัญ
5. อ่านเนื้อหาคร่าวๆก่อนเรียน
          การอ่านเนื้อหาคร่าวๆไปก่อนเรียนเป็นสิ่งที่ควรทำถ้าหากมีเวลา เพราะการที่ได้อ่านเนื้อหาไปแล้วคร่าวๆนั้นจะทำให้พอที่จะจับประเด็นได้ว่าเนื้อหาที่กำลังจะเรียนนั้นพูดถึงเรื่องอะไร อีกทั้งเมื่ออ่านเนื้อหาไปก่อนเรียนนั้นจะทำให้เรามีข้อสงสัยในบางประเด็น แล้วเมื่อเรียนในห้องเรียนจะได้ถามข้อสงสัยเหล่านั้นกับอาจารย์ผู้สอนได้ทันที
6. อย่าสักแต่ว่าจด
          การเรียนในห้องเรียนนั้นอย่าเอาแต่จดสิ่งที่อาจารย์เขียนบทกระดาน ต้องฟังคำอธิบาย และทำความเข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดด้วย เพราะหลายๆครั้งที่เอาแต่จด โดยไม่ฟังและทำความเข้าใจเลย เราจะพบว่าเมื่อนำสิ่งที่จดนั้นกลับมาอ่านอีกครั้ง จะรู้สึกไม่เข้าใจเนื้อหาที่จดมาเลย
7. สอนเพื่อนๆในเรื่องที่เข้าใจ
          มีงานวิจัยจำนวนมากมายได้พิสูจน์มาแล้วว่า วิธีการเรียนที่ทำให้จดจำได้ยาวนานที่สุดคือ "การสอน"  เพราะในการสอนนั้นผู้สอนจะต้องเข้าใจในเนื้อหาอย่างแท้จริง รู้ว่าเนื้อหาตรงจุดไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ และสามารถลำดับเนื้อหาที่จะสอนเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจได้ ดังนั้นการสอนเพื่อนๆจะทำให้น้องๆได้ทำความเข้าใจเนื้อหานั้นๆอย่างเป็นระบบ ทำให้น้องๆได้ทบทวนความรู้ ความเข้าใจของตัวเอง และทำให้มีแต่เพื่อนๆรักเรา เมื่อเราไม่เข้าใจตรงจุดไหนพวกเขาก็พร้อมที่จะอธิบายให้น้องฟังจนเข้าใจ

สิบสองสูตรพอกหน้าใส

สูตรพอกหน้าใสด้วยสมุนไพรง่ายๆ

สูตรพอกหน้า สูตรที่ 1 :  ว่านหางจระเข้ + ไข่ไก่
สูตรพอกหน้าด้วยสมุนไพรสูตรว่านหางจระเข้นี้ ทำได้โดยนำว่านหางจระเข้ 3 ใบมาล้างให้สะอาดพร้อมแกะเปลือกออก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วปั่นพร้อมกับไข่ไก่ 1 ฟอง ปั่นจนละเอียดข้นเป็นเนื้อเดียวกัน พอกหน้าครั้งละ 15-20 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะได้ผิวหน้าที่ชุ่มชื่นสวยใสและเด้ง
หมายเหตุ – กดเพื่อดูรายละเอียด สูตรพอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 2 :  เมล็ดทานตะวัน + ไข่ไก่
สูตรพอกหน้าด้วยเมล็ดทานตะวันนี้เริ่มจากนำเมล็ดทานตะวันที่แกะเปลือกแล้วครึ่งถ้วยมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำมาปั่นกับไข่ไก่ 1 ฟองจนได้ครีมข้นเป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าข้นเกินไปให้ใส่ไข่เพิ่มอีก 1 ฟอง การพอกหน้าให้พอกก่อนนอน ครั้งละ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะได้หน้าสวยใสและเด้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ^ ^
หมายเหตุ – กดเพื่อดูรายละเอียด สูตรพอกหน้าด้วยเมล็ดทานตะวัน
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 3 :  ใบบัวบก + ไข่ไก่
สูตรพอกหน้าด้วยสมุนไพรสูตรนี้เริ่มจากใช้ใบบัวบกและก้าน 1 ถ้วย ล้างให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆปั่นรวมกับไข่ไก่ 1 ฟอง จนได้ครีมข้นสีเขียวสด ถ้าข้นเกินไปให้เติมนมสดเพื่อให้เหลวขึ้น สูตรนี้ให้พอกก่อนนอน โดยพอกไว้ครึ่งชั่วโมงก่อนล้างออก หน้าจะใสเด้งจนมัวแต่ส่องกระจกไม่ยอมนอนกันเลยทีเดียว ^ ^
หมายเหตุ – กดเพื่อดูรายละเอียด สูตรพอกหน้าด้วยใบบัวบก
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 4 :  ยอดกระถิน + ว่านหางจระเข้ + ไข่ไก่
สูตรพอกหน้าใสสูตรนี้ใช้ว่านหางจระเข้ที่ล้างและแกะเปลือกแล้วครึ่งด้วย ยอดกระถิน 5 ยอด และไข่ไก่ 1 ฟอง ปั่นรวมกันจนได้ครีมเหนียวข้น พอกหน้าก่อนนอนครั้งละ 20 นาที 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ไม่เกิน 2 สัปดาห์ หน้าจะเนียนใสเด้งดึ๋งยังกับสาวรุ่น อิอิ
หมายเหตุ – กดเพื่อดูรายละเอียด สูตรพอกหน้าด้วยกระถิน
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 5 :  ใบเตย + ไข่ไก่
สูตรพอกหน้ากระชับรูขุมขนสูตรนี้ใช้ใบเตย (ไม่ใช่ใบเตย อาร์สยามนะ ^ ^) จำนวน 5 ใบ ล้างให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับไข่ไก่ 1 ฟองจนเป็นเนื้อเดียวกัน เหนียวและข้น ใช้พวกหน้าก่อนนอนครั้งละ 20 นาที หน้ากระชับ รูขุมขนจางลง สวยเด้งอย่างไม่น่าเชื่อ…
หมายเหตุ – กดเพื่อดูรายละเอียด สูตรพอกหน้าด้วยใบเตย
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 6 :  ว่านหางจระเข้ + ใบตำลึง + ไข่ไก่
สูตรพอกบำรุงผิวหน้าสูตรนี้ใช้ใช้ว่านหางจระเข้ที่ล้างและแกะเปลือกแล้วครึ่งถ้วย ใบตำลึงครึ่งถ้วยและไข่ไก่ 1 ฟอง ปั่นให้เข้ากันจนได้ครีมเหนียวข้น ใช้พอกหน้าครั้งละ 15-20 นาทีหรือจนกว่าครีมที่พอกไว้แห้งจึงล้างออก ผิวหน้าจะชุ่มชื่นมีชีวิตชีวานวลเนียนใสขึ้นทันที
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 7 :  สะเดา + ไข่ไก่
สูตรพอกหน้าลดสิวหรือสูตรพอกหน้าด้วยสมุนไพรสูตรนี้ให้ใช้ยอดสะเดาที่ล้างสะอาดแล้ว 1 ถ้วย ปั่นรวมกับไข่ไก่ 1 ฟอง จนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันและได้ครีมเขียวข้น ใช้พอกหน้าก่อนนอนครั้งละ 20 นาที ก่อนล้างออก จะได้ผิวหน้าที่นวลเนียนไร้สิวฟ้ารบกวน
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 8 :  มะนาว + น้ำผึ้ง
สูตรพวกหน้าด้วยน้ำผึ้งสูตรนี้ใช้มะนาว 2 ลูกและน้ำผึ้ง 1/4 ถ้วย เริ่มจากนำน้ำมะนาวมาผสมกับน้ำผึ้งกวนให้เข้ากัน จะได้ครีมหนืดข้น นำมาพอกหน้าก่อนนอนหรือภายหลังตื่นนอนก็ได้ครั้งละ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะผิวหน้าและผิวพรรณที่เต่งตึงมีน้ำมีนวล แลดูอ่อนกว่าวัยและไร้รอยตีนกา
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 9 :  แครอท + น้ำผึ้ง
ครีมพอกหน้าขาวสูตรนี้ใช้แครอท 1 หัวที่ล้างสะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้ว นำมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1/4 ถ้วย จนได้ครีมละเอียดเนื้อเดียวกันสีส้มอ่อนๆ ใช้พอกหน้าก่อนนอนครั้งละ 15-20 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะได้ผิวหน้าที่สดใส ขาวนวลขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 10 :  กล้วยหอม + น้ำผึ้ง
สูตรพอกหน้าใสสูตรนี้ใช้กล้วยหอมที่สุกแล้ว 1 ผล หั่นเป็นชิ้นเล็กๆปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1/4 ถ้วย ปั่นจนได้ครีมข้นเนื้อเดียวกัน ใช้พอกหน้าก่อนนอนครั้งละ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ไม่ถึงเดือนจะรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลและเนียนใสของผิวหน้า
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 11 :  มะเขือ + น้ำผึ้ง
สูตรพอกหน้าด้วยน้ำผึ้งสูตรนี้ใช้มะเขือขื่นหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ (ไม่ต้องเอาเมล็ดออก) ครึ่งถ้วยและน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ ปั่นให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน ใช้พอกหน้าก่อนนอนครั้งละ 20 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกได้ถึงผิวที่สดชื่นและเกลี้ยงเกลาขึ้นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 12 :  ยอดตำลึง + น้ำผึ้ง
สูตรพอกหน้าด้วยสมุนไพรสูตรนี้ใช้ยอดตำลึงที่ล้างสะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆครึ่งถ้วย ปั่นรวมกับน้ำผึ้งอีกครึ่งถ้วยจนได้ครีมเหนียวข้น ใช้พอกหน้าก่อนนอนครั้งละ 15-20 นาที ทำซ้ำ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ จะรู้สึกได้ถึงผิวหน้าที่ชุ่มชื่นสดใสและเต่งตึง ไร้ร่องรอยตีนกา